Radiesse vs Radiesse plus ต่างกันยังไง ฉีดอันไหนดี ผลลัพธ์เป็นยังไง
ย้อนวัยให้ผิว กลับมาสร้างคอลลาเจนดีขึ้นอีกครั้ง เนื่องจากการดูแลผิวพรรณเป็นสิ่งสำคัญมาก เมื่ออายุเพิ่มขึ้นคอลลาเจนในร่างกายก็ลดลง ดังนั้นจึงอยากแนะนำนวัตกรรมความงามที่ช่วยให้ผิวดีอย่างมีคุณภาพจากภายในสู่ภายนอก ไม่ว่าจะสายงานผิว หรือสายโครงหน้าชัด Radiesse และ Radiesse Plus ก็เอาอยู่หมด โดยโปรแกรมนี้สามารถเข้ามาแก้ไขปัญหาต่าง ๆ บนใบหน้า ไม่ว่าจะกรอบหน้าไม่ชัด หน้าไม่คม มีรอยสิว ผิวขรุขระ ริ้วรอยร่องแก้ม ผิวไม่กระชับ ดังนั้นการใช้โปรแกรมนี้สามารถฉีดเก็บโครงสร้างกรอบหน้าให้ชัดขึ้นแบบธรรมชาติ คางพุ่ง หน้ามีมิติ เห็นได้ถึงการปรับรูปหน้าให้ยกขึ้น ผิวหน้าที่ขรุขระดีขึ้น ด้วยนวัตกรรมล้ำสมัยเป็นที่ยอมรับจากวงการแพทย์อย่างกว้างขวาง แต่โปรแกรมการฉีด Radiesse และ Radiesse Plus เหมือนกันหรือต่างกัน หรือใช้ตัวไหนก็ได้ วันนี้มีคำตอบรวบรวมไว้ในบทความนี้แล้วค่ะ
Radiesse (Classic) คืออะไร
Radiesse Classic เป็นนวัตกรรมสารเติมเต็ม Biostimulator ฉีดกระตุ้นเพื่อฟื้นฟูการสร้างเส้นใยตาข่ายให้ผิวใหม่ หรือ Regenerative Biostimulator มีส่วนประกอบหลักคือ CaHA หรือ Calcium Hydroxylapatite ที่มีโครงสร้างโมเลกุลคล้ายกระดูก ทำหน้าที่ในการช่วยสร้างไฟโบรบลาสต์ (Fibroblast) เป็นการกระตุ้นให้เกิดการสร้างสารคอลลาเจน และอีลาสติน ฟื้นฟูโครงสร้างผิวให้แข็งแรงจากภายใน ช่วยให้ผิวเฟิร์มกระชับ มีความแน่นขึ้นในระยะยาวมากกว่าหนึ่งปีขึ้นไป มีความปลอดภัยสูง เนื่องจากผ่านมาตรฐาน อย.อเมริกา (USFDA) อย. ยุโรป (EU FDA) และ ไทย (FDA) เป็นนวัตกรรมที่รับการยอมรับจากแพทย์ทั่วโลก
Radiesse Plus คืออะไร
Radiesse Plus เป็นนวัตกรรมสารเติมเต็ม Biostimulator ที่กระตุ้นเซลล์ให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิว เพื่อช่วยให้ผิวเฟิร์ม แน่นขึ้น สามารถสร้างโครงหน้า สร้างกรอบ เติมเต็มริ้วรอยร่องลึก ปรับรูปหน้า หน้าได้ดีกว่าสารฉีดกระตุ้นชนิดอื่น ๆ เนื่องจากมีความคงตัวค่อนข้างสูง มีส่วนประกอบหลักคือ CaHA หรือ Calcium Hydroxylapatite ช่วยเติมเต็มในชั้นโครงสร้างผิวชั้นลึก ด้วยคุณสมบัติ High viscosity ที่ฉีดลงไปบริเวณไหนก็จะ ไม่เกิดการกระจายตัว เกิดการคงรูป ตั้งทรงได้ในระยะยาว และคุณสมบัติ High elasticity ที่ต้านแรงความหย่อนคล้อยได้มากที่สุด ใบหน้าคมดูมีมิติมากขึ้น โดยไม่ต้องทำการผ่าตัด เนื่องจากผ่านมาตรฐาน อย.อเมริกา (USFDA) อย. ยุโรป (EU FDA) และ ไทย (FDA) เป็นนวัตกรรมที่รับการยอมรับจากแพทย์ทั่วโลกอีกด้วย
โปรแกรม Radiesse vs Radiesse plus ทำงานต่างกันอย่างไร
โปรแกรม Radiesse Classic ที่ใช้เพื่องานผิว มีส่วนประกอบสำคัญคือ CaHA หรือ Calcium Hydroxylapatite ที่จะเข้าไปฟื้นฟูการทำงานของไฟโบรบลาสต์ เซลล์ที่เป็นตัวสร้างโปรตีนสองชนิดโดยตรง อย่างคอลลาเจน และอีลาสตินขึ้นมาใหม่ผ่านกลไก Direct to Fibroblast โดยตัว Radiesse Classic เองยังคงต้องฉีดแบบการใช้การผสมของยาชา (Lidocaine) และน้ำเกลือ (Nss) อยู่จึงสามารถช่วยในเรื่องงานผิวได้มากกว่ารุ่นใหม่ แก้ปัญหาความหย่อนคล้อย ผิวแน่นกระชับ โดยการฉีดในบริเวณตื้น ๆ เพื่อกระจายตัวยาบริเวณรอบ ๆ
โปรแกรม Radiesse Plus เป็นสารเติมเต็มที่มีส่วนประกอบสำคัญที่ผลิตมาจาก CaHA หรือ Calcium Hydroxylapatite เช่นเดียวกัน มีส่วนผสมของยาชาหรือ Lidocaine 0.3% ซึ่งเป็นการออกแบบมาเพื่อเติมเต็มความหนาแน่นชั้นโครงสร้างผิวใหม่ให้แก่ผิว และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิว โดยเมื่อฉีดตัวยาเข้าสู่ชั้นใต้ผิวหนัง ตัวยาจะเข้าไปเติมเต็มบริเวณที่ถูกฉีดในทันทีโดยไ่ม่กระจายตัวออกเป็นวงกว้าง โครงสร้างผิวให้มีความหนาแน่นขึ้น ใบหน้าคมชัดขึ้น เนื่องจากตัวยามีคุณสมบัติ High viscosity ไม่เกิดการกระจายตัวไปบริเวณอื่น จึงทำให้มีความคงรูปสูง และคุณสมบัติ High elasticity ที่มีแรงยกผิวได้สูง ต้านแรงความหย่อนคล้อยได้มากที่สุดใบบรรดาสารฉีดกระตุ้นคอลลาเจน ด้วยการใช้ปริมาณยาเพียงแค่ 1.5 cc เท่านั้น
จุดเด่นของ Radiesse vs Radiesse plus
จุดเด่นของโปรแกรม Radiesse
- เข็มฉีดยาที่บรรจุยาไว้เรียบร้อยแล้วพร้อมใช้งาน เพื่อความสะดวก
- ช่วยฟื้นฟูริ้วรอยร่องลึก เสริมให้ใต้ผิวสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินได้มาก
- ช่วยให้ผิวอิ่มฟู กระชับ
- เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับ US-FDA สำหรับการใช้ฉีดที่มือ
- มีคุณสมบัติช่วยปรับหน้าให้ได้งานผิวมากกว่า เนื่องจากยามีความกระจายตัวได้สูงกว่า
- ได้รับรองจากมาตรฐานจาก อย.อเมริกา (USFDA) อย. ยุโรป (EU FDA) และ ไทย (FDA)
- ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้ยาวนานถึง 1-2 ปี
จุดเด่นของโปรแกรม Radiesse Plus
- เข็มฉีดยาที่บรรจุยาไว้เรียบร้อยแล้วพร้อมใช้งาน เพื่อความสะดวก
- คุณสมบัติ High elasticity ที่มีแรงยกผิวได้สูง ต้านแรงความหย่อนคล้อยได้มากที่สุดเมื่อเทียบกับ Biostimulator ตัวอื่น
- คุณสมบัติ High viscosity ไม่เกิดการกระจายตัว มีความคงรูปสูง
- มีส่วนผสมของยาชาหรือ Lidocaine 0.3% ไม่รู้สึกเจ็บขณะทำ
- ยกกระชับโครงหน้าให้ชัดขึ้น ใบหน้าดูคมขึ้นทันที ช่วยยกหน้า ลิฟต์กรอบหน้าให้วีเชป
- ได้รับรองจากมาตรฐานจาก อย.อเมริกา (USFDA) อย. ยุโรป (EU FDA) และ ไทย (FDA)
- ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้ยาวนานถึง 2 ปี
ผลลัพธ์หลังทำของ Radiesse vs Radiesse plus
ผลลัพธ์หลังทำ Radiesse classic เดิมที่ไม่มีส่วนผสมของยาชา จึงยังจำเป็นต้องใช้การฉีดด้วยการผสมยาชา (Lidocaine) และน้ำเกลือ (Normal saline solution/NSS) สามารถช่วยให้ผิวแน่นขึ้น แก้ปัญหาความหย่อนคล้อย โดยเน้นแก้ปัญหาในเรื่องงานผิวมากกว่างานโครงหน้า ด้วยการฉีดตื้น ๆ เพื่อให้เกิดการกระจายตัวทั่ว ๆ ให้ผิวเกิดการสร้างคอลลาเจน หลังฉีดจะเห็นผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงทันที และจะเห็นการเปลี่ยนแปลงขึ้นเรื่อย ๆ ว่าผิวแน่น อิ่มฟู กระชับขึ้น และหลังจาก 3-6 เดือนหลังฉีดจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงเต็มที่
ผลลัพธ์หลังทำ Radiesse Plus ที่เป็นรุ่นที่มีส่วนผสมของยาชาหรือ Lidocaine 0.3% จึงมีความคงตัวสูงมาก มีความคงรูปตั้งทรงได้ดีกว่า สร้างโครงหน้าได้ดี สามารถยกกระชับใบหน้าได้ในทันที ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้ยาวนานถึง 2 ปี สามารถฉีดได้ในบริเวณตำแหน่งต่าง ๆ ของร่างกายโดยตำแหน่งยอดฮิต คือ บริเวณกรอบหน้า โหนกแก้ม แนวกราม แนวขากรรไกร บริเวณคาง เพื่อปรับโครงหน้าให้คมชัดมีมิติขึ้น เห็นได้ทันทีหลังทำว่ากรอบหน้ามีความชัดขึ้น โครงหน้ามีมิติมากขึ้น ใบหน้าดูคม หน้าดูพุ่ง มีเสน่ห์มากขึ้น
ตารางเปรียบเทียบ Radiesse vs Radiesse plus
Radiesse classic | Radiesse Plus |
ช่วยให้ผิวดูฟู อวบอิ่ม ดูอ่อนเยาว์ขึ้น ดูเด็กลง | ช่วยเพิ่มความคมชัดให้ใบหน้า |
กระตุ้นคอลลาเจนและอีลาสติน ในวงกว้างมากกว่า | สร้างกรอบหน้าให้มีมิติ |
ช่วยให้ผิวเฟิร์ม กระชับ | ยกกระชับได้มากกว่าสารฉีดกระตุ้นคอลลาเจนทั่วไป |
เน้นช่วยงานผิว ช่วยให้ผิวดูสสุขภาพดี | มีส่วนผสมของ Lidocaine 0.3% หรือยาชา |
เห็นผลชัดที่สุด 1-6 เดือนหลังฉีด | เห็นผลลัพธ์ทันทีหลังฉีด |
ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1-2 ปี | มีความคงรูปมากกว่า |
ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 2 ปี |
การแก้ปัญหาต่าง ๆ ไม่ว่าจะสำหรับสายงานผิว หรือสายโครงหน้า เน้นกรอบหน้าชัด Radiesse classic และ Radiesse Plus เป็นหัตถการที่ตอบโจทย์ได้ดีมาก ซึ่งเป็นการทำหัตถการที่จำเป็นต้องอาศัยแพทย์ผู้ชำนาญการที่มีประสบการณ์ระดับสูง เนื่องจากการฉีดให้สวยได้รูปตามที่ต้องการนั้นต้องใช้เทคนิคที่เหมาะสม ให้ได้ผลลัพธ์ออกมาสวยงาม ต้องมีความแม่นยำของตำแหน่ง ดังนั้นจึงควรเลือกคลีนิกที่ได้มาตรฐานอย่างดี ตรวจสอบได้ และมีความน่าเชื่อถือ
สำหรับใครที่ได้คำตอบแล้ว ว่าตัวเองเหมาะกับการฉีดโปรแกรมอะไรแต่ยังเลือกคลีนิกไม่ได้คลีนิก The Standard เป็นอีกทางเลือกที่ดีให้คุณ เนื่องจากคลีนิกของเรามีทีมแพทย์ที่มีความชำนาญการด้านการฉีดโปรแกรม Radiesse classic และ Radiesse Plus รวมไปถึงมีการอัพเดทเทคนิคใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม แตกต่างจากที่อื่น โดยแพทย์จะประเมินร่วมกับคนไข้พร้อมให้คำปรึกษา ให้ทราบถึงปัญหาที่ต้องการแก้ไขอย่างตรงจุดที่สุด ดูแลตั้งแต่ก่อนทำและหลังทำอย่างทั่วถึงในทุกเคส เอาใจใส่ในเคสต่อเคสอย่างดี เพื่อให้แต่ละเคสที่เข้ารับการรักษาได้ผลลัพธ์ออกไปอย่างน่าพึงพอใจที่สุด สวยงามที่สุด เพื่อความประทับใจของผู้รับบริการ