Monopolar RF คืออะไร? เจาะลึกเทคโนโลยียกกระชับ สลายไขมัน

สารบัญ

เมื่ออายุมากขึ้น ปัญหาผิวหย่อนคล้อยและไขมันสะสมตามจุดต่าง ๆ กลายเป็นเรื่องกวนใจ หลายคนมองหาเทคโนโลยี คลื่น RF ยกกระชับ ที่ช่วยคืนความตึงตัวให้ผิวโดยไม่ต้องผ่าตัด Monopolar RF คือหนึ่งในคำตอบที่ได้รับความนิยมสูงสุด บทความนี้จะเจาะลึกทุกแง่มุมของเทคโนโลยีนี้ ตั้งแต่หลักการทำงาน ประโยชน์ด้านการ สลายไขมัน Monopolar RF ไปจนถึงการเปรียบเทียบกับเครื่องมือยอดนิยมอย่าง Thermage กับ Oligio รวมถึงแนะนำ โปรแกรมยกกระชับ XERF ซึ่งเป็น XERF Program ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ปัญหานี้โดยเฉพาะ อ่านจบคุณจะเข้าใจว่า โปรแกรม XERF และเทคโนโลยีนี้เหมาะกับคุณหรือไม่

Monopolar RF สรุปครบทุกเรื่อง ยกระชับ-สลายไขมัน

  • Monopolar RF คืออะไร? คือเทคโนโลยีคลื่นวิทยุ (RF) แบบ “ขั้วเดียว” ที่ออกแบบมาเพื่อส่งพลังงานความร้อนลงไปได้กว้างและลึกถึงชั้นไขมันใต้ผิวหนัง จึงช่วยในเรื่องการยกกระชับผิวและสลายไขมันส่วนเกินไปพร้อมกัน
  • ทำงานอย่างไร? ใช้หลักการส่งความร้อนลึก (Deep Dermal Heating) ลงไปในชั้นผิว เพื่อกระตุ้นการจัดเรียงตัวของคอลลาเจนเดิม ส่งเสริมการสร้างคอลลาเจนใหม่ในระยะยาว และยังช่วยสลายไขมันในชั้นใต้ผิวหนัง (Lipolysis)
  • ต่างจาก HIFU/Ulthera อย่างไร? ต่างกันที่ชนิดพลังงานและชั้นผิวที่ทำงาน Monopolar RF ใช้ “คลื่นวิทยุ” เน้นการสร้างความร้อนในปริมาตรกว้าง ๆ ที่ชั้นหนังแท้และไขมันชั้นตื้น (เน้นกระชับผิว/สลายไขมัน) ส่วน HIFU/Ulthera ใช้ “คลื่นเสียง” แบบโฟกัส ส่งพลังงานเป็นจุด ๆ ลงลึกถึงชั้น SMAS (เน้นการ “ยก” โครงสร้างผิว)
  • ผลลัพธ์และต้องทำบ่อยแค่ไหน? ผลลัพธ์จะค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นในช่วง 1-3 เดือนหลังทำ ซึ่งเป็นช่วงที่คอลลาเจนใหม่ถูกสร้างขึ้นเต็มที่ ผลลัพธ์มักคงอยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือน แพทย์ส่วนใหญ่จึงแนะนำให้ทำปีละ 1 ครั้ง เพื่อคงผลลัพธ์การรักษา
  • เหมาะกับใครและข้อควรระวัง? เหมาะสำหรับผู้มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยระดับเริ่มต้นถึงปานกลาง และมีไขมันสะสมที่ต้องการลด (เช่น แก้ม, เหนียง) ความสำเร็จของการรักษาขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญคือ ความชำนาญของแพทย์ในการประเมินและใช้พลังงาน และการเลือกใช้เครื่องมือของแท้ที่ได้มาตรฐาน

Monopolar RF คืออะไร?

Monopolar RF (Radio-Frequency) คือเทคโนโลยีการใช้พลังงานคลื่นวิทยุ (RF) แบบขั้วเดียว พลังงานจะถูกส่งจากหัวยิง (Electrode) ผ่านผิวหนังไปยังแผ่นสื่อ (Return Pad) ที่ติดไว้บริเวณอื่นของร่างกาย ทำให้พลังงานสามารถลงไปได้กว้างและลึกถึงชั้นไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Fat) ด้วยความร้อนที่เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ จึงเหมาะสำหรับการใช้เพื่อยกกระชับผิว ลดความหย่อนคล้อย และช่วยกำจัดไขมันส่วนเกิน

คลื่น Radio Frequency หรือ RF คืออะไร?

Radio Frequency (RF) หรือ คลื่นวิทยุ เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดหนึ่งที่ถูกนำมาใช้ในวงการแพทย์และความงาม คลื่น RF นี้สามารถเดินทางทะลุผ่านชั้นผิวหนังด้านบน (Epidermis) ลงไปสู่ชั้นหนังแท้ (Dermis) และชั้นไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Fat) เมื่อพลังงานคลื่นวิทยุผ่านเนื้อเยื่อ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นพลังงานความร้อน ซึ่งความร้อนนี้เองที่เป็นหัวใจสำคัญในการกระตุ้นกระบวนการฟื้นฟูผิว ทำให้โครงสร้างผิวที่เสื่อมสภาพกลับมาแข็งแรงและตึงกระชับขึ้น

หลักการทำงานของ Monopolar RF: ความร้อนใต้ผิวทำงานอย่างไร?

หลักการทำงานของ Monopolar RF คือการส่งพลังงานคลื่นวิทยุแบบขั้วเดียวลงไปสร้างความร้อนในชั้นผิวที่ลึก (Deep Dermal Heating) โดยมีอุณหภูมิที่เหมาะสม (ประมาณ 40-70°C) ในชั้นผิวที่ต้องการรักษา

ความร้อนที่เกิดขึ้นนี้จะส่งผลต่อผิวใน 3 ระดับหลัก:

  1. ชั้นหนังแท้ (Dermis): พลังงานความร้อนจะทำให้เส้นใยคอลลาเจนเดิมที่ยืดตัวและคลายออก เกิดการหดตัวในทันที (Immediate Collagen Contraction) ทำให้ผิวดูตึงขึ้นเล็กน้อยหลังทำ
  2. การกระตุ้นระยะยาว: ความร้อนยังไปกระตุ้นเซลล์ Fibroblast ซึ่งเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่สร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ให้เริ่มกระบวนการซ่อมแซมและสร้างเส้นใยคอลลาเจนใหม่ (Neocollagenesis) ซึ่งกระบวนการนี้จะดำเนินต่อไปอีกหลายเดือน
  3. ชั้นไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Fat): ความร้อนที่ลงไปถึงชั้นไขมันสามารถทำให้เซลล์ไขมันบางส่วนสลายตัว (Lipolysis) และถูกขับออกจากร่างกายตามกลไกปกติ ช่วยลดการสะสมของไขมันในบริเวณที่ทำการรักษา

Monopolar RF ช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง? (ยกกระชับ สลายไขมัน)

ด้วยกลไกการทำงานที่ส่งความร้อนลงไปได้ลึกและกว้าง Monopolar RF จึงเป็นเครื่องมือที่สามารถจัดการปัญหาผิวได้หลายมิติพร้อมกัน

  • ยกกระชับผิวและลดความหย่อนคล้อย: เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยบริเวณใบหน้า แก้ม กรอบหน้า และเหนียง รวมถึงผิวบริเวณลำตัว เช่น หน้าท้อง หรือต้นแขน
  • สลายไขมันส่วนเกิน: เทคโนโลยีนี้ช่วย สลายไขมัน Monopolar RF ในจุดที่ลดยาก เช่น ไขมันใต้คาง (เหนียง) หรือไขมันสะสมที่แก้ม ทำให้กรอบหน้าดูชัดเจนขึ้น
  • ฟื้นฟูโครงสร้างผิว (Skin Rejuvenation): การกระตุ้นคอลลาเจนใหม่ไม่เพียงแต่ช่วยเรื่องความตึงกระชับ แต่ยังช่วยให้คุณภาพผิวโดยรวมดีขึ้น รูขุมขนดูกระชับขึ้น และผิวดูเรียบเนียน
  • ลดเลือนริ้วรอย: ช่วยให้ริ้วรอยตื้น ๆ และร่องลึกบางประเภท (เช่น ร่องแก้ม) ดูจางลงจากการที่ผิวมีความหนาแน่นและยืดหยุ่นมากขึ้น

เปรียบเทียบ Monopolar RF กับเทคโนโลยีอื่น (Bipolar RF, HIFU, Ulthera)

ในวงการเครื่องมือยกกระชับมีเทคโนโลยีหลากหลายที่ทำงานแตกต่างกัน การทำความเข้าใจความแตกต่างเหล่านี้จะช่วยให้คุณเลือกการรักษาที่ตรงจุดที่สุด นี่คือการเปรียบเทียบ Monopolar RF กับเทคโนโลยียอดนิยมอื่น ๆ

  • Monopolar RF (พลังงานคลื่นวิทยุขั้วเดียว): พลังงานลงได้ลึกและกว้างที่สุดในกลุ่ม RF เน้นการสร้างความร้อนในปริมาตรผิวที่กว้าง (Bulk Heating) เหมาะสำหรับการกระตุ้นคอลลาเจนในชั้นหนังแท้และสลายไขมันชั้นตื้น ตัวอย่างเครื่องในกลุ่มนี้คือ Thermage หรือ Oligio
  • Bipolar RF (พลังงานคลื่นวิทยุสองขั้ว): พลังงานจะวิ่งอยู่ระหว่างขั้วบวกและลบที่อยู่บนหัวยิงเดียวกัน ทำให้พลังงานลงได้ตื้นกว่า (จำกัดอยู่ในชั้นหนังกำพร้าและหนังแท้ส่วนบน) มักใช้ในการรักษาริ้วรอยตื้น ๆ หรือกระชับผิวชั้นบน
  • HIFU (High-Intensity Focused Ultrasound): ใช้พลังงาน “คลื่นเสียง” ความถี่สูงแบบโฟกัส (ไม่ใช่คลื่นวิทยุ) พลังงานจะถูกยิงเป็นจุดเล็ก ๆ ลงไปที่ชั้น SMAS (ชั้นพังผืดที่ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า) โดยตรง เน้นการ “ยก” (Lifting) โครงสร้างผิวจากภายใน
  • Ulthera (MFU-V): เป็นเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานคลื่นเสียงแบบโฟกัสเช่นเดียวกับ HIFU แต่มีจุดเด่นคือเทคโนโลยีหน้าจอที่แสดงภาพชั้นผิวแบบเรียลไทม์ (Real-time Visualization) ทำให้แพทย์สามารถยิงพลังงานได้แม่นยำตรงเป้าหมายที่ชั้น SMAS

หากคุณสนใจการยกกระชับที่เน้นชั้น SMAS โดยตรง สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Ulthera PRIME หรือ HIFU (CFU-e Life) ได้ที่นี่

ทำ Monopolar RF เจ็บไหม? ต้องเตรียมตัวอย่างไร?

ความรู้สึกขณะทำ Monopolar RF จะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลและเทคโนโลยีของเครื่องที่ใช้ โดยทั่วไป ผู้รับการรักษาจะรู้สึกอุ่น ๆ ไปจนถึงร้อนลึก ๆ บริเวณที่ทำ เครื่องมือรุ่นใหม่ ๆ มักมีระบบสั่น (Vibration) หรือระบบปล่อยความเย็น (Cooling system) ที่หัวยิง เพื่อช่วยเบี่ยงเบนความรู้สึกและเพิ่มความสบายขณะทำ

ก่อนการทำ Monopolar RF ควรเตรียมตัวเล็กน้อย โดยงดการสครับผิว หรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง 1-2 วันก่อนทำ และควรดื่มน้ำให้เพียงพอ ส่วนในวันนัดหมาย หากเป็นการรักษาบริเวณใบหน้าควรงดการแต่งหน้า หรือมาทำความสะอาดที่คลินิก

ขั้นตอนการทำ Monopolar RF เป็นอย่างไร และใช้เวลานานแค่ไหน?

ขั้นตอนการทำจะเริ่มจากการที่แพทย์ประเมินสภาพผิวและวางแผนการรักษา จากนั้นเจ้าหน้าที่จะทำความสะอาดผิวบริเวณที่จะทำ และติดแผ่นสื่อ (Return Pad) ไว้ที่บริเวณลำตัวหรือหลัง

แพทย์จะทาเจลใสบริเวณที่ทำ และเริ่มใช้หัวยิง (Tip) ค่อย ๆ ปล่อยพลังงานลงบนผิวทีละส่วนจนทั่วบริเวณที่กำหนดไว้ โดยทั่วไป การรักษาบริเวณทั่วใบหน้าและเหนียงจะใช้เวลาประมาณ 30-60 นาที ขึ้นอยู่กับขนาดพื้นที่และโปรแกรมที่แพทย์ออกแบบ

ผลลัพธ์หลังทำ อยู่ได้นานแค่ไหน? ต้องทำบ่อยไหม?

หลังทำ Monopolar RF ผู้รับการรักษาบางรายอาจสังเกตเห็นว่าผิวดูตึงกระชับขึ้นเล็กน้อยทันที ซึ่งเป็นผลมาจากการหดตัวของคอลลาเจนเดิม แต่ผลลัพธ์ที่แท้จริงจะมาจากการสร้างคอลลาเจนใหม่ ซึ่งจะเริ่มเห็นชัดเจนขึ้นในช่วง 1-3 เดือนหลังทำ และจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึงเดือนที่ 6

ผลลัพธ์จากการรักษาด้วย Monopolar RF มักคงอยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวเดิม อายุ และการดูแลตัวเองของแต่ละบุคคล แพทย์ส่วนใหญ่จึงแนะนำให้กลับมาทำซ้ำปีละ 1 ครั้ง เพื่อรักษาผลลัพธ์และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอย่างต่อเนื่อง

การดูแลตัวเองหลังทำ เช่น การทาครีมกันแดดสม่ำเสมอและดื่มน้ำให้เพียงพอ จะช่วยส่งเสริมผลลัพธ์การรักษา (ข้อมูลอ้างอิงจาก บทความวิชาการเกี่ยวกับการฟื้นฟูผิวด้วยคลื่นวิทยุ)

ใครเหมาะกับ Monopolar RF และใครควรหลีกเลี่ยง?

ผู้ที่เหมาะกับการทำ Monopolar RF:

  • ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยในระดับเริ่มต้นถึงปานกลาง
  • ผู้ที่มีไขมันสะสมบริเวณแก้มหรือเหนียง และต้องการให้กรอบหน้าชัดขึ้น
  • ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูคุณภาพผิวให้แน่นและเรียบเนียนขึ้น
  • ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์การกระชับผิวที่ดูค่อยเป็นค่อยไป ไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วจนผิดสังเกต

ผู้ที่ควรหลีกเลี่ยงการทำ Monopolar RF:

  • สตรีมีครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร
  • ผู้ที่ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker) หรือมีอุปกรณ์โลหะฝังอยู่ในร่างกายบริเวณที่ทำ
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัวรุนแรงที่ยังควบคุมอาการไม่ได้
  • ผู้ที่มีแผลเปิดหรือมีการติดเชื้อที่ผิวหนังในบริเวณที่จะทำ

เลือกคลินิกทำ Monopolar RF อย่างไรให้ปลอดภัยและเห็นผล

การเลือกสถานพยาบาลเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่จะกำหนดผลลัพธ์และความปลอดภัย ควรพิจารณาดังนี้:

  1. ความน่าเชื่อถือของคลินิก: คลินิกต้องได้มาตรฐาน ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาลอย่างถูกต้อง
  2. ความชำนาญของแพทย์: การทำ Monopolar RF ต้องอาศัยแพทย์ที่มีความชำนาญในการประเมินชั้นผิวและใช้พลังงานที่เหมาะสม การรักษากับแพทย์ที่มีประสบการณ์จะช่วยลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียงและได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า
  3. เครื่องมือที่ใช้: ต้องมั่นใจว่าเป็นเครื่องมือของแท้ที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน (เช่น US FDA และ อย.ไทย) เครื่องมือของแท้จะมีระบบที่เสถียร ช่วยให้การส่งพลังงานแม่นยำและลดโอกาสเกิดผิวไหม้
  4. การให้คำปรึกษา: แพทย์ควรประเมินปัญหาและอธิบายแผนการรักษาอย่างตรงไปตรงมา ไม่โฆษณาเกินจริง

สรุป

Monopolar RF เป็นเทคโนโลยี คลื่น RF ยกกระชับ ที่มีประสิทธิภาพในการส่งพลังงานความร้อนลงไปกระตุ้นคอลลาเจนในชั้นผิวลึกและ สลายไขมัน Monopolar RF ไปพร้อมกัน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยและลดไขมันสะสมบริเวณใบหน้า โดยให้ผลลัพธ์ที่ค่อยเป็นค่อยไปและดูสมส่วน การเลือกทำกับแพทย์ที่มีความชำนาญและใช้เครื่องมือที่ได้มาตรฐานเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

คำถามที่พบบ่อย

Monopolar RF ราคาเท่าไหร่?

Monopolar RF ราคา จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับยี่ห้อของเครื่อง (เช่น Thermage, Oligio, XERF), จำนวนช็อตหรือพลังงานที่ใช้, บริเวณที่ทำ, และความชำนาญของแพทย์ผู้ทำการรักษา

Monopolar RF มีเครื่องอะไรบ้าง?

เทคโนโลยี Monopolar RF เป็นเทคโนโลยีหลักที่อยู่ในเครื่องมือหลายยี่ห้อ ที่เป็นที่รู้จักในตลาด เช่น Thermage, Oligio, Exilis, และ โปรแกรม XERF ซึ่งแต่ละเครื่องอาจมีจุดเด่นด้านเทคโนโลยีหัวยิงหรือระบบทำความเย็นที่แตกต่างกัน

Monopolar RF ต้องทำกี่ครั้งถึงเห็นผล?

โดยทั่วไป การรักษาด้วยเครื่อง Monopolar RF (เช่น Thermage หรือ Oligio) ถูกออกแบบมาให้ทำเพียงปีละ 1 ครั้ง ก็สามารถเห็นผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนและคงอยู่ได้นาน

Monopolar RF แตกต่างจาก Bipolar RF อย่างไร?

ต่างกันที่ความลึก Monopolar RF (ขั้วเดียว) พลังงานจะลงได้ลึกถึงชั้นไขมัน เหมาะกับการยกกระชับและสลายไขมัน ในขณะที่ Bipolar RF (สองขั้ว) พลังงานจะตื้นกว่า เน้นการกระชับผิวชั้นบนและริ้วรอยตื้น ๆ

หากต้องการรักษา ทำไมต้องใช้บริการจาก The Signature Clinic

the-signature-clinic-cta

ที่ The Signature Clinic เราให้ความสำคัญกับการเลือกนวัตกรรมที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและผ่านการรับรองมาตรฐานสากล เราเลือกใช้ โปรแกรม XERF ซึ่งเป็นเทคโนโลยี Monopolar RF ที่ออกแบบมาเพื่อการยกกระชับผิวและปรับรูปหน้าโดยเฉพาะ ทีมแพทย์ของเรามีความชำนาญการในการออกแบบการรักษาเฉพาะบุคคล เพื่อให้มั่นใจว่าผู้รับบริการจะได้รับผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจและมีความปลอดภัยสูงสุด นอกจากนี้ เรายังมีโปรแกรมการรักษาแบบผสมผสานเพื่อผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น เช่น Potenza DUO (RF + XERF) สำหรับการฟื้นฟูคุณภาพผิวพร้อมยกกระชับ หรือ โปรแกรม XERF ที่เน้นการยกกระชับโดยตรง และโปรแกรม Sculpt and Slim Define (Sculpsure Submental + XERF) สำหรับการสลายไขมันเหนียงและกระชับกรอบหน้าไปพร้อมกัน

บทความที่คล้ายกัน

ทำโปรแกรม XERF อยู่ได้นานแค่ไหน? ตอบทุกข้อสงสัยเรื่องผลลัพธ์และความคุ้มค่า

กำลังตัดสินใจทำ XERF? มาดูว่าผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน ปัจจัยอะไรบ้างที่ส่งผล และวิธีดูแลให้ผิวสวยกระชับยาวนานที่สุด เพื่อความคุ้มค่าสูงสุด

โปรแกรม XERF เหมาะกับใคร? เจาะลึกครบทุกเรื่องที่ต้องรู้ก่อนตัดสินใจ

เจาะลึกโปรแกรม XERF คืออะไร? เหมาะกับใคร? ช่วยแก้ปัญหาผิวแบบไหน? เปรียบเทียบกับ Ulthera, Thermage อย่างละเอียด พร้อมราคาและรีวิว อ่านจบตัดสินใจได้เลย

XERF ต้องทำกี่ครั้ง? สรุปครบจบที่เดียว เห็นผลจริงในกี่เดือน

ตอบทุกคำถามก่อนตัดสินใจทำ XERF ต้องทำกี่ครั้งถึงเห็นผล? รู้สึกเจ็บหรือไม่? ผลลัพธ์คุ้มค่ากับ XERF ราคา ที่จ่ายไปจริงหรือ? อ่านรีวิวและข้อมูลที่นี่

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save