รอยแดงจากสิว เป็นปัญหาผิวที่หลายคนกังวล หลังจากที่สิวยุบตัวลงแล้ว แต่กลับทิ้งร่องรอยเป็นจุดสีแดงไว้บนใบหน้า ส่งผลกระทบต่อความมั่นใจเป็นอย่างมาก แต่ไม่ต้องกังวลไป เพราะปัจจุบันมีวิธีรักษารอยแดงจากสิวที่หลากหลาย ทั้งการดูแลตัวเองที่บ้าน และเข้ารับการรักษาจากผู้ชำนาญการอย่าง The Signature Clinic ที่พร้อมช่วยฟื้นบำรุงผิว เพื่อให้รอยแดงจางลง และมีผิวที่เรียบเนียน กระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ
สรุปรอยแดงจากสิว สาเหตุ อาการ และวิธีรักษา
- รอยแดงจากสิว (Post-Inflammatory Erythema) เกิดจากการอักเสบของสิวอุดตัน ทำให้หลอดเลือดฝอยใต้ผิวหนังขยายตัวและทิ้งรอยแดง ชมพู หรือม่วงไว้ในบริเวณที่เคยเป็นสิว รอยแดงมักจางหายได้เองภายใน 3-12 เดือน แต่ในบางคนอาจคงอยู่นานกว่านั้น
- สาเหตุหลักของรอยแดงจากสิวมาจากการอักเสบรุนแรงของสิวอุดตันและสิวอักเสบ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้รอยแดงเข้มขึ้น เช่น การแกะเกาสิว การโดนแสงแดด การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระคายเคือง พันธุกรรม และฮอร์โมนผิดปกติ
- อาการของรอยแดงจากสิว จะแสดงออกเป็นจุดสีแดง ชมพู หรือม่วง ในบริเวณที่เป็นสิว ลักษณะคล้ายกับรอยดำ แต่มีสีอ่อนกว่า และตื้นกว่า สามารถจางหายเองได้หากไม่มีการอักเสบเพิ่มเติม
- วิธีการรักษารอยแดงจากสิว สามารถทำได้ทั้งการดูแลด้วยตัวเองและเข้ารับการรักษาจากผู้เชี่ยวชาญ เช่น การทาครีมลดรอยแดง การทำเลเซอร์ การใช้สมุนไพรบำรุงผิว การฉีดเมโสหน้าใส การทำ Hifu เป็นต้น ซึ่งแต่ละวิธีจะช่วยลดการอักเสบ กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว และสร้างคอลลาเจนใหม่
- การป้องกันไม่ให้เกิดรอยแดงจากสิว ควรหลีกเลี่ยงการแกะเกาสิว เลือกใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับผิวแพ้ง่ายโดยเฉพาะ ทาครีมกันแดดเป็นประจำ ดื่มน้ำให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิว และพักผ่อนให้เพียงพอ
- หากรอยแดงจากสิวไม่จางลงหลังทำการรักษาด้วยตัวเองสักระยะหนึ่ง หรือเป็นรอยแดงที่ฝังลึกและมีขนาดใหญ่ ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อพิจารณาใช้วิธีการรักษาที่เหมาะสม และเพื่อป้องกันไม่ให้รอยแดงกลายเป็นแผลเป็นถาวร
“รอยแดงจากสิว คืออะไร รักษาวิธีไหนให้ได้ผลดี”
รอยแดงจากสิว คืออะไร?
รอยแดงจากสิว (Post-Inflammatory Erythema) คือ ร่องรอยที่เกิดขึ้นหลังจากการอักเสบของสิว ลักษณะเป็นรอยแดง ชมพู หรือม่วงคล้ำ ปรากฏอยู่บริเวณที่เคยเป็นสิว เกิดจากการขยายตัวและการแตกของเส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนัง เพื่อส่งเลือดมาฟื้นฟูบริเวณผิวที่ได้รับความเสียหาย ซึ่งรอยแดงเหล่านี้อาจคงอยู่ได้เป็นสัปดาห์ หรือเป็นเดือน หากไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม ก็อาจกลายเป็นรอยดำฝังลึกที่เรียกว่า “รอยดำหลังการอักเสบ” (Post-Inflammatory Hyperpigmentation) ได้ในที่สุด
รอยแดงจากสิว มีสาเหตุเกิดจากอะไรบ้าง?
สาเหตุหลักของรอยแดงจากสิวเกิดจากการอักเสบของสิวอุดตัน และสิวอักเสบที่รุนแรง ซึ่งทำลายเนื้อเยื่อผิวหนัง ร่วมกับปัจจัยต่างๆ ดังนี้
- การบีบ แกะ เกา สิว ทำให้เกิดการระคายเคืองและการอักเสบที่มากขึ้น
- การสัมผัสแสงแดดขณะที่เป็นสิว เพิ่มโอกาสการเกิดรอยดำและทำให้รอยแดงเข้มขึ้น
- การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ไม่เหมาะสม มีส่วนผสมที่ระคายเคืองและอุดตัน
- พันธุกรรม ผิวบางคนมีแนวโน้มเกิดรอยแดงง่ายกว่าคนอื่น
- ภาวะฮอร์โมนผิดปกติ เช่น ช่วงก่อนมีประจำเดือน ทำให้เกิดสิวง่าย
- ความเครียด การพักผ่อนไม่เพียงพอ ส่งผลให้การอักเสบของสิวทวีความรุนแรง
รอยสิว มีประเภทอะไรบ้าง?
รอยสิวแบ่งเป็น 3 ประเภทหลัก คือ รอยแดงจากสิว รอยดำจากสิว และรอยหลุมสิว แต่ละประเภทมีลักษณะแตกต่างกัน และต้องใช้วิธีการรักษาที่เฉพาะเจาะจง ดังนี้
รอยแดงจากสิว
ลักษณะเป็นจุดสีแดง ชมพู หรือม่วง เกิดจากการขยายตัวของหลอดเลือดฝอยที่ผิวหนัง จากกระบวนการซ่อมแซมผิวที่เสียหายเนื่องจากสิวอักเสบ ซึ่งมักจะจางหายได้เองภายใน 3-12 เดือน แต่ในบางรายที่เป็นมากอาจใช้เวลานานกว่านี้
รอยดำจากสิว
ลักษณะคล้ายกับรอยแดงจากสิว แต่จะมีสีคล้ำกว่า ออกโทนสีน้ำตาลหรือดำ เกิดจากภาวะที่ร่างกายสร้างเม็ดสีเมลานินมากเกินไป เพื่อปกป้องผิวหนังจากการอักเสบ ทำให้ผิวบริเวณนั้นหมองคล้ำ ซึ่งมักจะฝังลึกและใช้เวลารักษานานกว่ารอยแดงจากสิว
รอยหลุมสิว
ลักษณะเป็นหลุมหรือบุ๋มลึกลงไปในผิวหนัง เกิดจากการอักเสบของสิวที่ทำลายคอลลาเจน และเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง ทำให้เซลล์ผิวไม่สามารถสร้างเนื้อเยื่อทดแทนมาเติมเต็มได้ทัน สิวอักเสบรุนแรงที่ไม่ได้รับการรักษา มักเกิดเป็นแผลเป็นหลุมลึก ซึ่งรักษาได้ยากกว่ารอยแดงและรอยดำจากสิว
แนะนำ 8 วิธีรักษารอยแดงจากสิว
เมื่อเข้าใจสาเหตุและประเภทของรอยสิวแล้ว การเลือกวิธีรักษารอยสิวที่ถูกต้องจะช่วยให้รอยแดงจางลงได้เร็วขึ้น ซึ่งมีทั้งวิธีที่ทำได้ด้วยตัวเองที่บ้าน และการรักษาจากผู้ชำนาญการ ดังนี้
1. ทาครีมลดรอยแดงจากสิว
เลือกครีมหรือเซรั่มที่มีส่วนผสมของสารช่วยลดการอักเสบและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เช่น วิตามินซี ไนอะซินาไมด์ และซาลิไซลิค เพื่อเร่งการฟื้นตัวของผิว และลดเลือนจุดแดงให้จางลง ควรใช้อย่างต่อเนื่องเช้าเย็น เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ดี
2. การเลเซอร์ลดรอยแดง
เป็นการรักษาด้วยแสงเลเซอร์พลังงานสูง ที่สามารถเข้าไปตรงเป้าหมายเพื่อกำจัดรอยแดง และกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนให้ผิวกระชับเรียบเนียน ซึ่งได้ผลค่อนข้างดี และใช้เวลาพักฟื้นไม่นาน แต่ควรทำกับแพทย์ผู้ชำนาญการเท่านั้น เพื่อลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียง
3. การใช้ว่านหางจระเข้ลดรอยแดง
ว่านหางจระเข้มีสรรพคุณช่วยลดการอักเสบ สมานแผล และเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว จึงมักถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์บำรุงผิว สามารถนำเนื้อเจลของว่านหางจระเข้สดมาทาบริเวณรอยแดงเป็นประจำ เพื่อช่วยให้รอยแดงจางลงได้เร็วขึ้น
4. การทำ Hifu ลดรอยแดง
เป็นการรักษาด้วยคลื่นอัลตร้าซาวด์ความถี่สูง เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่นให้ผิว ทำให้รอยแดงแลดูจางลง ผิวกระชับ เนียนเรียบขึ้น อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ที่ได้อาจต่างกันในแต่ละบุคคล
5. รับประทานวิตามินเสริม
วิตามินบางตัว เช่น วิตามินซี อี และสังกะสี มีส่วนช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน ต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มภูมิคุ้มกันให้ผิว ทำให้ผิวแข็งแรงและลดการอักเสบของสิวได้ดีขึ้น รวมถึงมีผลต่อการจางหายของรอยแดงอีกด้วย แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน
6. การสครับผิวเพื่อลดรอยแดงจากสิว
การสครับผิวเบาๆ ด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ เช่น เกลือ น้ำตาล กากกาแฟ หรือข้าวโอ๊ต จะช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าที่หมองคล้ำ กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้ผิวแลดูสดใสขึ้น แต่ไม่ควรสครับแรงหรือบ่อยเกินไป เพราะอาจยิ่งทำให้ผิวระคายเคืองได้
7. การพอกด้วยสมุนไพรลดรอยแดงจากสิว
สมุนไพรบางชนิด เช่น ขมิ้น น้ำผึ้ง โยเกิร์ต และมะนาว มีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบ ต้านแบคทีเรีย บำรุงผิว นำมาผสมเป็นมาสก์หน้าแล้วพอกทิ้งไว้ 10-15 นาที ก็ช่วยให้รอยแดงดูจางลงและผิวนุ่มชุ่มชื้นขึ้น แต่อาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้ในบางคน จึงควรทดสอบก่อนใช้
8. ปรึกษาแพทย์ผิวหนัง
หากมีรอยแดงจากสิวที่ลึกและเป็นเป็นเวลานาน ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสม เช่น การใช้ยาทา ยารับประทาน หรือการทำเลเซอร์ ซึ่งจะช่วยเร่งให้รอยแดงจางลงได้เร็วกว่าการรักษาทั่วไป และยังป้องกันไม่ให้รอยแดงลุกลามจนกลายเป็นแผลเป็นถาวรอีกด้วย
วิธีดูแลตัวเองเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดรอยแดงจากสิว
นอกจากการรักษาให้รอยแดงจางลงแล้ว การดูแลและป้องกันไม่ให้เกิดรอยแดงซ้ำก็เป็นสิ่งสำคัญ ด้วยวิธีง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน ดังนี้
หลีกเลี่ยงการแกะ เกาหรือบีบสิว
การบีบหรือแกะเกาสิว จะยิ่งทำให้การอักเสบของสิวแย่ลง ส่งผลให้เกิดรอยแดง รอยดำ หรือแผลเป็นได้ง่ายขึ้น ดังนั้น ควรปล่อยให้สิวยุบไปเอง หรือรักษาสิวอย่างถูกวิธี เพื่อลดโอกาสเกิดรอยสิวตามมา
เลือกใช้สกินแคร์ที่เหมาะกับผิว
ผิวที่มีแนวโน้มเป็นสิวง่าย ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน ไม่มีน้ำหอม ไม่อุดตัน และผ่านการทดสอบการแพ้แล้ว เช่น โฟมล้างหน้าสำหรับผิวบอบบาง สกินโทนเนอร์ปราศจากแอลกอฮอล์ มอยส์เจอไรเซอร์สูตรเจล และครีมกันแดดที่ไม่มีน้ำมัน เพื่อป้องกันการระคายเคืองและการอักเสบของสิว
ดื่มน้ำให้เพียงพอ
การดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้ว จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว กระตุ้นระบบขับถ่าย ลดของเสียในร่างกายที่อาจส่งผลให้เกิดสิวได้ รวมถึงช่วยเร่งการหายของรอยแดงและลดโอกาสการเกิดรอยสิวใหม่
ผักผ่อนให้เพียงพอ
ร่างกายจะสามารถฟื้นฟูซ่อมแซมผิวได้มีประสิทธิภาพในช่วงที่เราหลับ การนอนให้ได้ 7-8 ชั่วโมงต่อวัน จะช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ลดการอักเสบ ผลัดเซลล์ผิวเก่า ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง สุขภาพดี ลดการเกิดสิวและรอยสิวได้
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิว
อาหารที่อุดมไปด้วยผักผลไม้ เมล็ดธัญพืช โปรตีนจากปลา และไขมันดีจากน้ำมันมะกอก จะช่วยบำรุงผิวจากภายใน ให้ผิวเรียบเนียน กระจ่างใส แข็งแรงต้านทานสิวได้ดีขึ้น ในขณะที่อาหารรสจัด ของทอด ขนมหวาน และแอลกอฮอล์ อาจกระตุ้นการเกิดสิวและการอักเสบของผิว
การปกป้องผิวจากแสงแดด
รังสี UV จากแสงแดดจะไปกระตุ้นเซลล์สร้างเม็ดสีให้ผลิตเมลานินมากขึ้น ทำให้รอยแดงจากสิวดูเข้มขึ้นและติดทนนานขึ้น การทาครีมกันแดดเป็นประจำ จะช่วยป้องกันผิวจากการคล้ำเสีย ไม่ให้รอยแดงแย่ลง และลดโอกาสการเกิดรอยดำตามมาด้วย
“ปรับผิวให้เนียน ด้วย Derma V เทคโนโลยีที่จะฟื้นสภาพผิวให้กลับมาเรียบเนียนอีกครั้ง”
การรักษารอยแดงจากสิวด้วย Derma V
Derma V เป็นเลเซอร์เทคโนโลยีใหม่ที่ใช้คลื่นความยาวคลื่นเฉพาะในการจัดการรอยแดงโดยตรง ช่วยลดการขยายตัวของหลอดเลือดฝอยใต้ผิวอย่างแม่นยำ พร้อมกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ให้ผิวเรียบเนียน สีผิวสม่ำเสมอ การรักษาด้วย Derma V ให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนโดยไม่ทำร้ายเนื้อเยื่อผิวรอบข้าง และใช้เวลาพักฟื้นน้อย
หากต้องการรักษารอยแดงจากสิว กับผู้ชำนาญการ เลือกใช้บริการจาก The Signature Clinic
การรักษารอยแดงจากสิวอย่างถูกต้องต้องอาศัยความรู้ ความเชี่ยวชาญ และเทคโนโลยีที่เหมาะสม เพื่อป้องกันการเกิดรอยแผลถาวรและเพิ่มโอกาสในการฟื้นฟูผิวอย่างมีประสิทธิภาพ The Signature Clinic พร้อมดูแลคุณด้วย Derma V เทคโนโลยีเลเซอร์ระดับโลกที่ช่วยลดรอยแดงโดยไม่เจ็บ ไม่ต้องพักฟื้น พร้อมการดูแลจากทีมแพทย์ผู้ชำนาญการในทุกขั้นตอน
สรุป
รอยแดงจากสิว เป็นหนึ่งในปัญหาผิวยอดฮิตที่ทำให้หลายคนหมดความมั่นใจ แต่สามารถรักษาให้จางลงได้ด้วยการดูแลผิวอย่างถูกวิธี ทั้งการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม การปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ไปจนถึงการรักษาด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ ซึ่งที่ The Signature Clinic เราพร้อมให้บริการรักษารอยสิวด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและปลอดภัย เพื่อมอบผิวสวย กระจ่างใส ปราศจากริ้วรอย ให้คุณมีความมั่นใจในทุกวัน
คำถามที่พบบ่อย
ทำยังไงให้รอยแดงจากสิวหาย?
รอยแดงจากสิวสามารถหายได้เองตามธรรมชาติ แต่หากต้องการให้หายเร็วขึ้นต้องใช้การรักษาที่เหมาะสม ได้แก่ การทาครีมลดรอยแดง การเลเซอร์ การใช้สมุนไพรต่างๆ ควบคู่ไปกับการดูแลผิวพรรณให้แข็งแรง ป้องกันไม่ให้เกิดสิวขึ้นซ้ำ รอยแดงก็จะค่อยๆจางลงไปได้ในที่สุด
รอยแดงจากกดสิว กี่วันหาย?
รอยแดงจากการกดสิวจะใช้เวลาในการหายประมาณ 1-2 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของสิว หากเป็นสิวอักเสบมากอาจใช้เวลานานถึง 1-2 เดือนกว่าจะจางหาย แต่หากไม่มีการบำรุงรักษาเพิ่มเติม รอยแดงนั้นอาจกลายเป็นรอยดำติดทนนานได้ จึงควรเร่งรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อให้รอยแดงหายเร็วขึ้น
รอยแดงฝังลึกหายเองได้ไหม?
รอยแดงฝังลึกอาจหายเองได้ตามกาลเวลา แต่จะใช้เวลานานกว่าปกติ คือประมาณ 6-12 เดือน และอาจทิ้งรอยดำเอาไว้ได้ ดังนั้นควรเร่งรักษาให้รอยแดงจางลงเร็วขึ้น โดยอาจใช้การทาครีมลดเลือนริ้วรอย การฉีดฟิลเลอร์ หรือการรักษาด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ต่างๆ เช่น เลเซอร์ การกรอผิว การปลูกถ่ายไขมัน ซึ่งจะช่วยฟื้นฟูสภาพผิวได้ดีกว่าการปล่อยให้หายเอง
กินอะไรลดรอยแดงสิว?
อาหารที่มีส่วนช่วยในการลดรอยสิว ได้แก่ อาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี และสังกะสี เช่น ผักผลไม้สีส้ม ส้ม สตอเบอร์รี่ กีวี่ ผักใบเขียว ถั่วเมล็ดแห้ง ธัญพืชไม่ขัดสี ไข่ นม เนื้อปลา เพราะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ผลัดเซลล์ผิว ลดการอักเสบ ทำให้ผิวแข็งแรง สามารถฟื้นตัวจากรอยแดงได้เร็วขึ้น