ฟิลเลอร์ คืออะไร รู้ทุกเรื่องก่อนฉีด Filler เสี่ยงหรือเปล่า [2024]

ตัวจริงเรื่องการฉีดฟิลเลอร์สารเติมเต็มริ้วรอย ร่องลึกต่าง ๆ ให้ดูตื้นขึ้น อ่อนกว่าวัย  เพิ่มความชุ่มชื้น เพื่อผิวดูสุขภาพดี

เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ริ้วรอยร่องลึกต่าง ๆ ก็ตามมา ไม่ว่าจะเป็นร่องใต้ตา ร่องแก้ม ทำให้ดูแก่และโทรม ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งปัญหาอันดับต้น ๆ ที่ทำให้หลายคนขาดความมั่นใจ “ฟิลเลอร์” จึงเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาความงามที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เป็นวิธีการที่ช่วยเพิ่มความเต็มเต็งหรือปรับรูปร่างให้กับบริเวณต่าง ๆ บนใบหน้า รวมถึงการลดเลือนริ้วรอย ทำให้ผิวหน้าเรียบ อิ่มฟู เต่งตึง ดูละมุนขึ้น หรือฉีดบริเวณปากเพื่อให้ริมฝีปากอวบอิ่มขึ้น  โดยการฉีดสารเติมเต็มเข้าไปในชั้นผิวหรือชั้นไขมันใต้ผิวหนัง

แต่ในปัจจุบันฟิลเลอร์นั้นมีหลายยี่ห้อ มีหลากหลายรุ่น เพื่อให้เหมาะกับปัญญาในแต่ละบริเวณ และราคาที่แตกต่างกันออกไป ในบทความนี้หมอจะมาอธิบายเกี่ยวกับข้อควรรู้ก่อนฉีดฟิลเลอร์มาให้ทุกท่านได้อ่านกันครับ

 

ฟิลเลอร์ คืออะไร

ฟิลเลอร์ (Filler) คือ สารเติมเต็มกลุ่มไฮยาลูโรนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า HA ที่เลียนแบบสารที่มีอยู่ตามธรรมชาติใต้ชั้นผิว สามารถสลายได้เอง ไม่ตกค้างในร่างกาย ได้รับการรับรองโดย องค์กรอาหารและยาจากประเทศสหรัฐอเมริกา หรือ FDA สารตัวนี้มีคุณสมบัติช่วยกักเก็บน้ำและความชุ่มชื้น (Hydration) เติมเต็มหรือเสริมในชั้นผิวหนังและเพิ่มความยืดหยุ่นใต้ผิวหนัง (Increase Elasticity) ที่ช่วยลดและแก้ไขปัญหาผิว ริ้วรอยร่องลึก บริเวณต่าง ๆ ของใบหน้า ให้กลับมาดูอ่อนเยาว์ กระชับ เต่งตึง ดูสุขภาพดี

คุณสมบัติของฟิลเลอร์ไม่เพียงแต่ช่วยเติมเต็มริ้วรอยร่องลึกอย่าง ใต้ตา ร่องแก้ม ขมับเท่านั้น แต่ยังฉีดฟิลเลอร์ทั้งหน้าได้ โดยสามารถนำมาใช้ในการปรับแก้ไขรูปหน้าให้สวยงาม เช่น ปรับคางให้ดูยาวขึ้น แก้ปัญหาคางตัด คางถอย เติมเต็มบริเวณหน้าผากให้ใบหน้าดูมีมิติ และช่วยปรับรูปปาก แก้ปัญหาเนื้อปากบาง มุมปากตกได้อีกด้วย

ถึงแม้ฟิลเลอร์จะเป็นสารที่ได้รับรองมาตรฐานความปลอดภัย สามารถสลายได้โดยไม่ตกค้างในร่างกาย แต่สิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง คือจะต้องเลือกฉีดกับแพทย์ที่ชำนาญการฉีด มีเทคนิคการฉีดที่ถูกต้อง รวมทั้งวิเคราะห์ตำแหน่งและปริมาณการใช้ฟิลเลอร์ที่เหมาะสม เพราะหากฉีดฟิลเลอร์โดนเส้นเลือดหรือบริเวณอื่น ๆ ที่ไม่ต้องการ อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ครับ

ฉีดฟิลเลอร์

ฟิลเลอร์มีกี่แบบ

สามารถแบ่งชนิดของฟิลเลอร์ออกได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ ดังนี้ครับ

1.แบบถาวร (Permanent Filler)

การฉีดฟิลเลอร์ชนิด Permanent Filler คือ ฟิลเลอร์ที่ไม่สามารถย่อยสลายได้ และเป็นฟิลเลอร์ที่ไม่ผ่านอย.ในประเทศไทย จะเป็นสารเติมเต็มจำพวกซิลิโคนเหลว (Liquid Silicone)  หรือ พาราฟิน (Paraffin) หลังฉีดฟิลเลอร์ชนิดนี้เข้าไปผิวไม่สามารถดูดซึมได้ ทำให้ตกค้างอยู่ในชั้นผิว อาจมีผลข้างเคียงในระยะยาว เช่น ฟิลเลอร์เป็นก้อนแข็ง ฟิลเลอร์ไหล ฟิลเลอร์ย้อยผิดรูป หรือกลายเป็นพังผืด การรักษาทำได้โดยผ่าตัดออก หรือขูดออกเท่านั้น ไม่มียาฉีดสลาย หมอจึงไม่แนะนำให้ฉีดสารเติมเต็มชนิดนี้

2.แบบกึ่งถาวร (Semi Permanent Filler)

การฉีดฟิลเลอร์ชนิด Semi Permanent Filler คือ ฟิลเลอร์ที่ไม่สามารถย่อยสลายได้หมด 100% อยู่ได้นานประมาณ 2-5 ปี ฟิลเลอร์ชนิดนี้มีใช้ในต่างประเทศ ไม่ผ่านอย.ในประเทศไทย ส่วนใหญ่จะทำมาจากสารแคลเซียม ไฮดรอกซีอะพาไทต์ (Calcium Hydroxyapatite) สาร PLLA (Poly-L-lactic acid) และ สาร Polyalkylimide หลังฉีดฟิลเลอร์ชนิดนี้เข้าไปอาจเกิดผลข้างเคียงได้ เช่น ฟิลเลอร์เป็นก้อน เกิดการอักเสบ

การรักษาปัญหาจากฟิลเลอร์ชนิดนี้ทำได้ยากเช่นกันครับ

3.แบบชั่วคราว (Temporary Filler)

การฉีดฟิลเลอร์ชนิด Temporary Filler คือ ฟิลเลอร์ที่สามารถสลายได้เอง หลังสลายไปก็สามารถฉีดเติมใหม่ได้เรื่อย ๆ จะมีอายุการใช้งานโดยประมาณ 4-6 เดือน สารที่อยู่ในกลุ่มนี้ก็มีอยู่หลายชนิด เช่น Hyaluronic Acid, Autologous Fat หรือ Calcium Hydroxyapatite เป็นต้น ฟิลเลอร์ในกลุ่มนี้ทาง อย. ประเทศไทย ให้การรับรองแล้วว่าปลอดภัย ได้รับความนิยม และมีใช้กันอย่างแพร่หลาย 

 

ถึงแม้ฟิลเลอร์จะมีอยู่หลายชนิด แต่ในปัจจุบันมีเพียงฟิลเลอร์ชนิดชั่วคราว (Temporary Filler) ที่ผลิตจาก Hyaluronic Acid ชนิดเดียวที่ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาของประเทศไทย (อย.) อีกทั้งยังได้รับการรับรองจากทางฝั่งยุโรปและสหรัฐอเมริกา เพราะสารชนิดนี้สามารถพบได้ในร่างกายของเราจึงมีความปลอดภัยสูง

Hyaluronic Acid เป็นสารที่พบได้ในร่างกายโดยเฉพาะที่ดวงตา ผิวหนัง และข้อต่อต่าง ๆ ทำหน้าที่ให้ความชุ่มชื้นแก่เนื้อเยื่อและข้อต่อต่าง ๆ แต่เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้นร่างกายก็ผลิตสารชนิดนี้และคอลลาเจนได้ลดน้อยลง ทำให้ผิวขาดการชุ่มชื้น ขาดความสดใส  เกิดปัญหาผิวหย่อยคล้อย มีริ้วรอยเหี่ยวย่น และร่องลึก จนสังเกตเห็นได้ชัดเจน จึงต้องฉีดสารเติมเต็มชนิดนี้หรือที่เรียกว่าฟิลเลอร์เข้าไปในร่างกาย ซึ่งจะช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ที่ชั้นใต้ผิวหนัง เติมเต็มช่องว่างให้กับชั้นเซลล์ผิว ทำให้ผิวยืดหยุ่น มีความเรียบเนียน และอ่อนเยาว์ลง

ชนิดของฟิลเลอร์

ฉีดบริเวณไหนได้บ้าง ฉีดแต่ละบริเวณใช้กี่ CC

การฉีดฟิลเลอร์ช่วยแก้ไขจุดบกพร่องต่าง ๆ บนใบหน้าที่มีปัญหาร่องลึกและริ้วรอยต่าง ๆ โดยก่อนฉีดจะต้องได้รับการประเมิณจากแพทย์ผู้ชำนาญการเพื่อวิเคราะห์ตำแหน่งในการฉีดและการใช้จำนวน CC ที่เหมาะสมเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เหมาะสมที่สุด ซึ่งบริเวณที่ได้รับความนิยมในการฉีดฟิลเลอร์มีดังนี้

  1. ใต้ตา

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา นับเป็นจุดแรกที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้น ๆ เพราะจะช่วยเติมเต็มเบ้าตาลึกและลดริ้วรอย ช่วยแก้ปัญหาใต้ตาคล้ำ แก้ปัญหาสำหรับคนที่มีถุงใต้ตา 

สำหรับการเติมฟิลเลอร์ใต้ตา จะใช้สารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid ประมาณ 2-4 cc ก็สามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน แต่ทั้งนี้การเติมฟิลเลอร์ใต้ตาก็ขึ้นอยู่กับปัญหาใต้ตาของแต่ละบุคคลด้วยครับ

  1. ร่องแก้ม

การฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม เป็นอีกหนึ่งจุดที่ได้รับความนิยมในการฉีดและแพทย์ส่วนใหญ่แนะนำ การเติมเต็มบริเวณนี้จะช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยร่องแก้ม แก้ปัญหาร่องแก้มลึก ฉีดแล้วช่วยให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ และหลังฉีดสามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงหลังจากฉีด 

สำหรับการเติมฟิลเลอร์ร่องแก้ม จะใช้สารเติมเต็มประเภท  Hyaluronic Acid ปริมาณฟิลเลอร์ที่ต้องใช้คือ 2-4 cc ตามปัญหาของแต่ละบุคคล

  1. คาง

การฉีดฟิลเลอร์คาง เหมาะสำหรับคนที่มีฐานคางเดิมอยู่แล้ว ต้องการเสริมให้คางดูยาวเรียวได้รูป ทำให้ใบหน้าโดยรวมดูมีมิติมากขึ้น จะช่วยแก้ปัญหาคางสั้น คางตัด คางเบี้ยว คางไม่เท่ากัน เป็นต้น 

สำหรับการฉีดฟิลเลอร์คาง จะใช้สารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid ประมาณ 1 cc หรือมากกว่า ตามปัญหาของแต่ละบุคคล หลังฉีดฟิลเลอร์คางสามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้หลังฉีด

  1. ปาก

การฉีดฟิลเลอร์ปากเป็นอีกหนึ่งจุดที่หลายคนให้ความสนใจในปัจจุบัน เพราะสามารถแก้ปัญหาปากไม่เท่ากัน ริมฝีปากบาง ขอบปากคล้ำ ปากแห้งเป็นร่อง มุมปากตกได้ เมื่อฉีดเข้าไปก็จะทำให้ปากชุ่มชื้น ดูอวบอิ่มมีมิติให้ปากดูมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น นอกจากนั้นแล้วการฉีดในจุดนี้ยังเหมาะกับคนที่ต้องการปรับขนาดโครงสร้างปากให้เป็นรูปทรงที่สวยงามได้

สำหรับการฉีดฟิลเลอร์ปาก จะใช้สารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid ประมาณ 1-2 cc ขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละบุคคล หลังฉีดฟิลเลอร์ปากจะเห็นผลการเปลี่ยนแปลงได้หลังทำ

  1. หน้าผาก

บริเวณหน้าผากก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ต้องการเติมเต็มด้วยฟิลเลอร์ การฉีดฟิลเลอร์หน้าผากจะช่วยเสริมหน้าผากให้โหนกนูนดูมีมิติมากขึ้น ช่วยแก้ไขปัญหาสำหรับคนที่มีหน้าผากบุ๋มยุบ หน้าผากแบน หรือมีริ้วรอยร่องลึกที่เกิดจากอายุที่เพิ่มขึ้น เป็นหนึ่งวิธีในการปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วนโดยไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น

สำหรับการฉีดฟิลเลอร์หน้าผาก จะใช้สารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid ประมาณ 2-5 cc หรือมากกว่า ตามปัญหาของแต่ละบุคคล หลังฉีดฟิลเลอร์หน้าผากอาจมีอาการบวมได้เป็นปกติ แต่จะหายไปเอง ประมาณ 7-14 วัน 

  1. ขมับ

การฉีดฟิลเลอร์ขมับ จะช่วยปรับใบหน้าโดยรวมให้ดูสมดุล ได้สัดส่วนมากขึ้น จะช่วยลดความเด่นของโหนกแก้ม การฉีดในจุดนี้ช่วยแก้ปัญหาคนที่มีขมับตอบ ขมับลึก ขมับยุบ และคนที่มีปัญหาเปลือกตาตก โดยไม่ต้องผ่าตัด นอกจากนี้ฟิลเลอร์ขมับยังช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยหางตาให้เต่งตึงขึ้น ชุ่มชื้นขึ้น

สำหรับการฉีดฟิลเลอร์ขมับ จะใช้สารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid ประมาณ 1-2 cc ตามปัญหาของแต่ละบุคคล 

  1. แก้มส้ม

การฉีดฟิลเลอร์แก้มส้ม จะเป็นการเติมเต็มฟิลเลอร์ที่บริเวณระหว่างใต้ตากับแก้ม และโหนกแก้มกับจมูกที่มีการยุบตัวของกระดูก กล้ามเนื้อ หรือไขมัน จนทำให้ผิวหย่อนคล้อย หรือเป็นริ้วรอย ช่วยยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อยขึ้น และทำให้ใบหน้าดูมีมิติ และสดใสมากขึ้น

สำหรับการฉีดฟิลเลอร์แก้มส้ม จะใช้สารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid ประมาณ 2-4 cc ตามปัญหาของแต่ละบุคคล 

บริเวณที่ได้รับความนิยมในการฉีดฟิลเลอร์

อันตรายไหม มีการแพ้มั้ย อาการแพ้ฟิลเลอร์เป็นอย่างไร

การฉีดฟิลเลอร์ด้วยสาร Hyaluronic Acid เป็นหัตถการที่มีความปลอดภัยสูง เพราะเป็นสารที่สามารถสลายไปได้เองตามธรรมชาติ มีอาการแพ้เกิดขึ้นได้น้อยมากครับ ส่วนมากผลข้างเคียงที่เกิดมักเกิดจากการใช้ฟิลเลอร์ราคาถูก ที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือ อย. มีการลักลอบนำเข้าอย่างผิดกฎหมาย ฉีดแล้วไม่สลายตัว จึงต้องแก้ไขด้วยการผ่าตัดและขูดฟิลเลอร์ออกเท่านั้น โดยหมอได้รวบรวมอันตรายจากการฉีดฟิลเลอร์ปลอม หรือไม่ได้ฉีดโดยแพทย์ผู้ชำนาญการมาให้ดังนี้ครับ 

  1. การเกิดรอยนูน หรือผิวไม่เรียบ (beading) เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ฉีดที่ตื้นเกินไป การฉีดฟิลเลอร์ปริมาณมากเกินไป และเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่มีขนาดโมเลกุลไม่เหมาะสม 
  2. ฟิลเลอร์มีการเคลื่อนออกออกจากตำแหน่งที่ฉีด ไปยังบริเวณข้างเคียงที่ไม่ต้องการ มักเกิดเมื่อมีการฉีดฟิลเลอร์ใกล้ ๆ กับกล้ามเนื้อที่มีการขยับบ่อย ๆ 
  3. อาการแพ้ฟิลเลอร์ที่มีลักษณะเป็นผื่น ลมพิษแบบรุนแรง (angioedema) แต่จะพบได้น้อยมากครับ
  4. การติดเชื้อภายหลังการฉีดฟิลเลอร์ มีอาการตั้งแต่ ปวดบวม แดง ร้อน มีตุ่ม หรือก้อนหนองบริเวณที่ฉีด เนื่องจากเทคนิควิธีการฉีดที่ไม่สะอาด คลินิกไม่ได้มาตรฐาน หรือไม่ได้ฉีดโดยแพทย์
  5. ฉีดเข้าไปโดนบริเวณหลอดเลือด โดยเฉพาะหลอดเลือดแดงอาจทำให้เกิดการอุดตันของหลอดเลือดได้นำไปสู่อาการเนื้อตาย (necrosis) บริเวณที่เส้นเลือดนั้นมาเลี้ยง 
  6. ตาบอด เกิดจากฟิลเลอร์ที่ฉีดเข้าไปอุดตัน บีบ หรือกดหลอดเลือดแดง (supratrochlear and supraorbital artery) ซึ่งมีแขนงต่อไปที่หลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงจอประสาทตา (ophthalmic artery) มีผลทำให้สูญเสียการมองเห็นได้

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการฉีดฟิลเลอร์เป็นรอยแดง หรือรอยช้ำ เป็นผลข้างเคียงที่พบได้ทั่วไป ซึ่งหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ครับ

การฉีดฟิลเลอร์ปลอม หรือฉีดโดยหมอกระเป๋า เป็นสิ่งที่อันตรายมาก ๆ เพราะฉะนั้นควรเลือกฉีดกับแพทย์ผู้ชำนาญการ เลือกคลินิกที่ผ่านมาตรฐานจะช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ครับ

 

ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์

1.สามารถช่วยลดการเกิดริ้วรอย ช่วยชะลอวัย ทำให้ใบหน้าแลดูอ่อนเยาว์ เพราะฟิลเลอร์จะช่วยทำให้ผิวบริเวณที่ฉีดมีความชุ่มชื้น ยืดหยุ่น 

2.ให้ผลลัพธ์ที่ดูดีมีความเป็นธรรมชาติมากกว่าการเติมเต็มผิวด้วยวิธีอื่น ๆ

3.เป็นหัตถการที่ปลอดภัย ได้รับการรับรองจาก อย. ไม่มีสารตกค้าง สามารถสลายเองได้ตามธรรมชาติ

4.ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีความเสี่ยงในการวางยาสลบ ไม่มีรอยแผลเป็น ไม่ต้องพักฟื้น

หลังฉีดเห็นผลทันที และสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ

5.การฉีดฟิลเลอร์เป็นการเติม Hyaluronic Acid เข้าสู่ผิว ผลลัพธ์จากการฉีดสามารถอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองหลังจากการฉีด หากวันหนึ่งรู้สึกว่าไม่ชอบหรือต้องการปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมก็สามารถทำได้เรื่อย ๆ

 

ฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดี อยู่ได้นานแค่ไหน ?

ในปัจจุบันมีฟิลเลอร์ที่ใช้เติมเต็มหลายยี่ห้อ หลายรุ่น และมีความแตกต่างกัน หมอจะขอแนะนำฟิลเลอร์ที่ได้รับความนิยมและจุดเด่นที่แตกต่างกันครับ

Restylane

เป็นผลิตภัณฑ์ฟิลเลอร์สัญชาติสวีเดนตัวแรกของโลกที่มีการวิจัย การพิสูจน์ทางการแพทย์ระดับโลก ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาสหรัฐ (USFDA) ว่ามีความปลอดภัย และนำไปใช้ทำการรักษากว่า 55 ล้านครั้ง  ยี่ห้อนี้มีการนำเข้าโดยบริษัท กัลเดอร์มา (ประเทศไทย) จำกัด และในปัจจุบันก็ยังมีการพัฒนารุ่นใหม่ ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง 

Restylane นั้นจะมีหลักการทำงานที่โดดเด่น คือ NASHA® (Non-Animal Stabilized Hyaluronic Acid)  เป็น HA ที่มีความปลอดภัย ยกกระชับได้อย่างชัดเจน  และมีความคงตัวสูง ซึ่งไม่ได้สกัดมาจากสัตว์ ส่วนของเทคโนโลยี XpresHAn มีความพิเศษตรงที่ถูกออกแบบมาเพื่อการเคลื่อนไหวบนใบหน้า และการแสดงออกทางสีหน้าอย่างเป็นธรรมชาติสูง ผลลัพธ์การฉีดฟิลเลอร์ของ Restylane อยู่ได้ 6-18 เดือน ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับรุ่นที่ฉีดด้วย

Juvederm

เป็นผลิตภัณฑ์ฟิลเลอร์สัญชาติสหรัฐอเมริกา ทำการผลิตโดยบริษัท Allergan ถือเป็นฟิลเลอร์ตัวเลือกอันดับหนึ่งที่คนในสหรัฐเลือกใช้ เป็นฟิลเลอร์กลุ่มไฮยาลูโรนิค (Hyaluronic Acid) หรือ HA ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของประเทศไทย (THFDA) สหรัฐอเมริกา (USFDA) และ EDQM มีความปลอดภัยสูง และให้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ ให้ผลลัพธ์ที่ยาวนาน 8-24 เดือน (ขึ้นอยู่กับรุ่นของฟิลเลอร์และบริเวณที่ฉีด) และเป็นธรรมชาติ นำเข้าโดยบริษัท แอลเลอร์แกน (ประเทศไทย) จำกัด 

จุดเด่นของ Juvederm  คือจะมีการผสมยาชา Lidocaine มาเรียบร้อย ช่วยให้ไม่รู้สึกเจ็บเวลาฉีด สามารถนำไปใช้ได้กับทุกจุดบนใบหน้า

Belotero

เป็นผลิตภัณฑ์ฟิลเลอร์สัญชาติสวิตเซอร์แลนด์ นำเข้าโดย บริษัท เมิร์ซ เฮลธ์ แคร์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้การรับรองความปลอดภัยจากองค์การอาหารและยาของประเทศไทย (THFDA) สหรัฐอเมริกา (USFDA) และ EDQM ของยุโรป

Belotero เป็นฟิลเลอร์กลุ่มไฮยาลูโรนิค (Hyaluronic Acid) หรือ HA ที่ผ่านกระบวนการหมัก (Biofermented) เพื่อสกัดไฮยาลูโรนิคที่มีอยู่ตามธรรมชาติในร่างกายมนุษย์ ซึ่งมีความปลอดภัยสูงมาก และสลายได้เองตามธรรมชาติ นอกจากนี้ ฟิลเลอร์ของ Belotero ยังผลิตด้วยเทคโนโลยี CPM Technology (Cohesive Polydensified Matrix) ซึ่งช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น และง่ายต่อการฉีดฟิลเลอร์ ทำให้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจหลังฉีดภายในกี่ชั่วโมง ให้ความเรียบเนียน ช่วยเติมเต็มร่องริ้วรอยได้เป็นอย่างดี ให้ผลลัพธ์ที่ยาวนานประมาณ 18 เดือน

EPTQ

เป็นผลิตภัณฑ์ฟิลเลอร์สัญชาติเกาหลี ผลิตโดยบริษัท JETEMA Co.,Ltd. โดยเป็นสารเติมเต็มกลุ่มไฮยาลูโรนิค (Hyaloronic Acid) หรือ HA ความเข้มข้นสูง อีกทั้งยังเป็นฟิลเลอร์ที่มีโครงสร้างโมเลกุลแบบรวงผึ้ง (HIVE) ทำให้ตัวฟิลเลอร์มีความหนืด และมีความยืดหยุ่นสูง อีกทั้งยังมีราคาที่ถูกกว่าฟิลเลอร์จากฝั่งยุโรป แต่มีคุณภาพไม่แพ้กัน เพราะได้รับการรับรองจากองค์การอาหาร และยาของประเทศสหรัฐอเมริกา (USFDA) ยุโรป (EDQM) และไทย

จุดเด่นของ EPTQ คือ เป็นฟิลเลอร์ที่มีความเข้มข้นสูงมากถึง 24 mg/ml และมีกระบวนการผลิตด้วยเทคโนโลยี ZEEP Technology (Zero Endotoxin & BDDE Entire Process) ทำให้ลดโอกาสในการแพ้ และผลข้างเคียงอื่น ๆ อีกทั้งยังใช้เทคโนโลยี 2CM Technologr (2 Crooslinking Method) ทำให้ฟิลเลอร์มีความละเอียดสูง ยืดหยุ่น และมีการเกาะตัวของโมเลกุลที่แน่นมากขึ้น นอกจากนี้ EPTQ ยังเป็นฟิลเลอร์ที่ผสมยาชาเพื่อช่วยลดความเจ็บระหว่างการฉีด ให้ผลลัพธ์ที่ยาวนาน 6-12 เดือน

Neuramis

เป็นผลิตภัณฑ์ฟิลเลอร์สัญชาติเกาหลีเช่นกัน นำเข้าโดยบริษัท Medyceles ประเทศไทย เริ่มได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีราคาที่ไม่แพงมาก จับต้องได้ เป็นสารเติมเต็มจากกลุ่มไฮยาลูโรนิค (Hyaluronic Acid) หรือ HA มีความปลอดภัยไม่แพ้แบรนด์อื่นที่มีราคาสูงกว่า ได้รับการรับรองจากองค์การอาหาร และยาของประเทศสหรัฐอเมริกา (USFDA) ยุโรป (EDQM) และไทย

ปัจจุบัน Neuramis ที่ผ่าน อย.ประเทศไทยมีเพียงรุ่นเดียว คือ รุ่น Deep Neuramis ให้ผลลัพธ์ที่อยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน

Flore

เป็นผลิตภัณฑ์ฟิลเลอร์สัญชาติเกาหลี เป็นแบรนด์น้องใหม่ล่าสุด นำเข้าโดยบริษัท บอน-ซอง (ฺBonSong Thailand) โดยเป็นฟิลเลอร์สารเติมเต็มกลุ่มไฮยาลูโรนิค (Hyaloronic Acid) หรือ HA ซึ่งเป็นฟิลเลอร์ประเภท Monophasis ที่ให้ความละมุน เรียบเนียน เป็นธรรมชาติ เนื่องจากเป็นสารเนื้อเดียว ได้รับมาตรฐาน CE mark, IOS 13485 และผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาของประเทศสหรัฐอเมริกา (USFDA) และองค์การอาหารและยาของไทย

แต่ความพิเศษของ Flore คือ มีการนำเอาคุณสมบัติของฟิลเลอร์ประเภท Biophasis ซึ่งเป็นสารเนื้อแน่น และเนื้ออ่อนมารวมกันด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย ทำให้ Flore มีคุณสมบัติที่ทั้งฉีดขึ้นรูปได้ดี แต่ก็มีความละมุน เรียบเนียน และเป็นธรรมชาติให้ผลลัพธ์ที่อยู่ได้นานประมาณ 9-12 เดือน

 

ฉีดฟิลเลอร์เจ็บมั้ย?

การฉีดหัตถการฟิลเลอร์จะมีการแปะยาชาเฉพาะที่ หรือประคบเย็นก่อน ซึ่งจะช่วยลดความเจ็บระหว่างฉีดได้มาก อีกทั้งฟิลเลอร์ในปัจจุบันยังมีการผสมยาชาด้วย ใครที่กลัวเจ็บ ไม่ต้องกังวลเลย รับรองว่าสามารถทำได้สบาย ๆ อย่างแน่นอนครับ

ฟิลเลอร์ช่วยปรับรูปปาก แก้ปัญหาเนื้อปากบาง มุมปากตก

ใครที่ไม่ควรฉีดฟิลเลอร์

  • คนที่แพ้สาร Hyaluronic Acid ไม่แนะนำฉีด ฟิลเลอร์ Filler
  • คนที่มีโรคประจำตัวต้องรับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด
  • คุณแม่ที่ตั้งครรภ์และให้นมบุตร ไม่แนะนำฉีด ฟิลเลอร์ Filler
  • คนที่มีอาการแพ้ยาชาไม่แนะนำฉีด ฟิลเลอร์ Filler
  • คนที่มีประวัติเป็นแผลคียลอยด์ง่าย ไม่แนะนำฉีด ฟิลเลอร์ Filler

 

วิธีการดูฟิลเลอร์แท้ที่ปลอดภัย

เพื่อความปลอดภัยในการฉีดฟิลเลอร์คนไข้ควรศึกษาวิธีดูฟิลเลอร์แท้ มีบริษัทนำเข้ามาอย่างถูกกฎหมายหรือไม่ สังเกตได้ดังนี้ครับ

  • ทุกครั้งก่อนแกะกล่องให้สังเกตว่า กล่องนั้นปิดสนิทไม่เคยผ่านการแกะมาก่อนทั้ง 2 ด้าน
  • ที่กล่องฟิลเลอร์จะมีหมายเลข Lot หรือวันที่ผลิต วันหมดอายุ และเลขอ้างอิง โดยที่ระบุตรงกันทั้ง 2 จุด คือ ข้างกล่อง และหลอด
  • มีเลขทะเบียนอย. ที่กล่อง มีเอกสารกำกับภาษาไทย
  • ต้องมีชื่อบริษัทที่ผลิต บริษัทที่นำเข้า ทั้งบนกล่อง และแพ็คเกจบรรจุข้างในกล่อง
  • เมื่อแกะกล่องบรรจุภัณฑ์จะต้องมีฉลากภาษาไทย และภาษาอังกฤษประกอบอยู่ด้วย 
  • เข็ม Spring ฟิลเลอร์นั้นจะมีฝาเกลี่ยวสีดำปิดอยู่เสมอ ซึ่งเป็นการยืนยันว่ายังไม่เคยใช้งานมาก่อน

 

ควรเตรียมตัวอย่างไรก่อนฉีด

1.ก่อนทำ 3-7 วันควรงดยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs ยาละลายลิ่มเลือด และวิตามิน

2.ก่อนทำ 1 วันควรงดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

3.ก่อนทำ 1 วัน ควรงดการออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด รวมไปถึงควรเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้ใบหน้าสัมผัสความร้อน อย่างการซาวน่า ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น เป็นต้น

หากมีโรคประจำตัวหรือมียาที่ทานประจำ หรือมีอาการของผิวหนังอักเสบบริเวณที่จะทำการฉีดฟิลเลอร์ควรแจ้งแพทย์ก่อนทำหัตถการ

 

ข้อปฏิบัติหลังฉีดฟิลเลอร์

1.หลังฉีดอาจพบอาการเขียวช้ำหรือบวมแดงได้ จึงควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสในบริเวณจุดที่ฉีด หลังจากนั้นประมาณ 1-2 สัปดาห์อาการก็จะค่อย ๆ ดีขึ้นและหายไปเอง

2.หลีกเลี่ยงให้บริเวณจุดที่ฉีดฟิลเลอร์สัมผัสกับความร้อนทุกชนิดเช่น การตากแดด การออกกำลังกายกลางแจ้ง การซาวน่า เป็นต้น

3.ให้เลี่ยงการขยับผิวในจุดที่ฉีดในช่วง 3 วันแรก เพราะอาจทำให้สารเติมเต็มเคลื่อนตัวจนอยู่ผิดตำแหน่งได้

4.ควรดื่มน้ำมาก ๆ ซึ่งจะช่วยทำให้ฟิลเลอร์ที่ฉีดคงสภาพได้ดีมากยิ่งขึ้น

5.งดโดนน้ำ ทาครีม แต่งหน้า บริเวณที่ทำอย่างน้อย 24 ชั่วโมงหลังฉีดฟิลเลอร์

6.งดแอลกอฮอล์ประมาณ 1 สัปดาห์เพราะอาจทำให้อาการเขียวช้ำนานขึ้น

 

ร้อยไหม vs ฟิลเลอร์ vs ฉีดไขมัน อันไหนดีกว่ากัน

การร้อยไหม ฉีดฟิลเลอร์ และการฉีดไขมัน เป็นหัตถการที่ช่วยเติมเต็ม ลดปัญหาริ้วรอย ที่ได้รับความนิยมสูงในปัจจุบัน ถึงแม้เป็นหัตการความงามเหมือนกันแต่มีคุณสมบัติในการแก้ปัญหาที่แตกต่าง และให้ผลลัพธ์แตกต่างกันด้วย

  • การร้อยไหม 

เป็นเทคนิคการปรับรูปหน้า ยกกระชับ ลดเลือนริ้วรอย ด้วยไหมละลายโดยไม่ต้องผ่าตัด หลังทำจะเห็นการเปลี่ยนแปลงทันที ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากประเทศเกาหลี โดยใช้หลักการ ของการใช้ไหมเส้นเล็กจำนวนมากมาร้อยเป็นเครือข่าย บริเวณใต้ผิวหนังที่ร้อยไหมเข้าไป จะถูกกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ ทำให้เกิดการสร้างเส้นเลือดใหม่ มีผลทำให้เกิดการกระตุ้นเซลล์ที่มีหน้าที่สร้างเส้นใยคอลลาเจน ให้สร้างคอลลาเจนใหม่มาพันรอบแนวเส้นไหม พร้อมทั้งช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตมาเลี้ยงชั้นผิวหนังเพิ่มขึ้นด้วย โดยผลลัพธ์จะคงอยู่ประมาณ 1-2 ปี

  • ฟิลเลอร์

เป็นหัตถการช่วยเติมเต็ม แก้ปัญหาริ้วรอย รอยเหี่ยวย่นบนผิวหนัง ช่วยปรับรูปหน้า สารเติมเต็มที่ใช้ฉีดเข้าไปในผิวหนังมีหลายชนิด แต่ที่เป็นที่นิยมคือ Hyaluronic Acid หรือ HA เป็นสารที่สามารถสลาดไปได้เองตามธรรมชาติ ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์คือหลังทำจะเห็นการเปลี่ยนแปลง ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น และนอกจากฟิลเลอร์แล้วยังมีนวัตกรรมใหม่ในกลุ่มการฉีดผิวในประเภทสารเติมเต็มอย่าง RADIESSE  ที่ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนพร้อมสร้างเส้นใยตาข่ายผิวใหม่ที่แข็งแรง สัมผัสผิวเฟิร์ม เด้งฟูอีกด้วย

  • ฉีดไขมัน หรือการปลูกถ่ายไขมัน (Fat Grafting)

เป็นหัตถการที่ช่วยให้ผิวหนังเต่งตึงขึ้น ลดริ้วรอย และทำให้ผิวบริเวณที่ฉีดดูอ่อนเยาว์ขึ้นโดยไขมันที่นำมาฉีด จะเป็นเซลล์ไขมันของตัวเอง ซึ่งไขมันดังกล่าวจะต้องนำไปเข้ากระบวนการปั่นแยกเซลล์ และทำความสะอาด นำสารอื่น ๆ ที่ไม่จำเป็นออกไปก่อน แล้วจึงใช้ไขมันดังกล่าวมาฉีดในบริเวณที่ต้องการ กระบวนการทำงานของไขมันที่ฉีดจะไม่เหมือนกับฟิลเลอร์ เมื่อเวลาผ่านไปพักหนึ่งฟิลเลอร์จะเกาะกับผิว จากนั้นจะค่อย ๆ สลายไปเรื่อย ๆ ส่วนการฉีดไขมันนั้นเหมือนการปลูกถ่ายเซลล์อย่างหนึ่ง เนื่องจากเซลล์ไขมันที่ฉีดเข้าไปเป็นเซลล์มีชีวิต หากฉีดเข้าไป และเริ่มเกาะกับเนื้อเยื่ออื่น เริ่มมีเส้นเลือดมาเลี้ยง ก็จะคงรูปเป็นส่วนหนึ่งของผิวหนังอยู่แบบนั้นจนกว่าจะสลายไปเองตามอายุที่มากขึ้น และการฉีดไขมันยังนิยมฉีดครั้งละมาก ๆ ประมาณครั้งละ 30 – 40 cc แม้จะเป็นบริเวณใบหน้าก็ตาม เพราะแพทย์จะต้องเผื่อไว้ในกรณีที่ไขมันสลายไปด้วย การฉีดไขมันหลังจากพ้นช่วง 1 เดือนไปแล้ว ไขมันส่วนที่ปลูกถ่ายไม่ติดจะสลายไป ส่วนที่ปลูกติดจะมีเส้นเลือดไปเลี้ยงเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อเยื่อผิวหนัง ทำให้ไขมันในส่วนนี้อยู่ได้นานมาก ประมาณ 3 – 5 ปี หรือบางรายผลการรักษาอาจอยู่นานเป็น 10 ปี ครับ

 

ถ้าฟิลเลอร์สลายหมด จะทำให้หน้าแก่กว่าเดิมไหม ?

การทำหัตถการฟิลเลอร์จะช่วยทำให้ใบหน้าเต่งตึง ดูมีมิติมากขึ้น เพราะฟิลเลอร์จะช่วยทำให้ผิวบริเวณที่ฉีดมีความชุ่มชื้น ยืดหยุ่น และถึงแม้ว่าสารเติมเต็มที่ฉีดเข้าไปจะสลายไปหมดแล้วตามกาลเวลา ผิวก็จะยังคงสภาพที่ดูดีอยู่ เพราะคอลลาเจนและอิลาสตินของร่างกายจะยังคงอยู่ ไม่สลายหายไปนั่นเอง จึงไม่ทำให้หน้าดูแก่กว่าเดิมครับ และยังสามารถมาเติมฟิลเลอร์ได้เรื่อย ๆ หลังฟิลเลอร์สลายไป

 

การฉีดสลายฟิลเลอร์

การฉีดสลายฟิลเลอร์ คือ การฉีดเอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดส (Hyaluronidase:HYAL) ซึ่งเอ็นไซม์นี้สามารถช่วยย่อยสลายฟิลเลอร์กลุ่ม Hyaluronic Acid หรือ HA ที่เป็นฟิลเลอร์แท้ได้ แต่หากเป็นฟิลเลอร์ปลอมจะต้องผ่าตัดและขูดออกเท่านั้นครับ

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

 

ฉีดฟิลเลอร์กรอบหน้า

Share the Post:

บทความอื่น ๆ

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save
Scroll to Top